พื้นที่ของแหล่งความรู้และเรื่องราวที่น่าสนใจ รวบรวมจากบทความ และบทเรียน ต่างๆใน Overdrive , Rhythm Section และ Com Music ซึ่งเป็นหนังสือในเครือ PMG โดยเฉพาะเล่มเก่าๆ ที่ตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว ซึ่งมีบทความมากมายที่รอให้ทุกๆคนได้สัมผัส

Sunday, December 30, 2007

Music Spoken Area Al DI MEOLA

clip_image002From : Overdrive Guitar Magazine No.27 , September 2000

วันนี้จะขอพูดถึงมือกีตาร์ระดับตำนานคนหนึ่งที่เพียบพร้อมทั้งเทคนิคและมิวสิคเคิล และมีอิทธิพลต่อมือกีตาร์รุ่นหลังอย่างมาก และก็เป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนในทศวรรษ 70 โดดเด่นมากในสาย Fusion Jazz ก็คงหนีไม่พ้น Al DI MEOLA

Al DI MEOLA เป็นมือกีตาร์ที่มีผลงานชิ้นแรกตั้งแต่ปี 1976 ในอัลบั้ม Land of the midnight sun แต่งานที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วก็อัลบั้ม Elegant Gypsy ในปี 1977 และจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็มีผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ จนถึงปัจจุบัน รวมอัลบั้มเดี่ยวของเขาก็น่าจะสัก 20 อัลบั้มได้

เขาเข้าเรียนดนตรีที่ Berklee School of Music ( ในตอนนั้น ) ปี 1971 แต่เรียนได้ 2 เทอมด้วยความโดดเด่นของตัวเขาเอง ทำให้ Chick Corea ชวนเขาไปร่วมเล่นด้วย ซึ่ง Al DI MEOTA กล่าวไว้ว่า "ผมอยู่ที่อพารต์เม้นท์ใน Boston เป็นบ่ายๆวันศุกร์วันหนึ่ง แล้ว Chick Corea ก็โทรมาชวนผมและถามผมว่า " มาซ้อมกับผมใน New York ได้ไหม"ในตอนนั้นChick Corea คือนักดนตรีคนโปรดของผมเลย และมาชวนผมไปอยู่กับกลุ่มคนดนตรีที่ผมชื่นชอบด้วย สำหรับผมแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริงเลย ไม่เคยมีสิ่งที่ดีๆในชีวิตครั้งไหนเท่าครั้งนั้นเลย ในเวลา 10 นาทีผมเก็บกระเป๋าของใช้บางส่วนและเดินทางไป New York ทันที หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอพารต์เม้นท์นั้นอีกเลย"

clip_image004

clip_image006

เขาได้เล่นกับ Chick Corea งานแรกที่ Carnegie Hall ในตอนนั้นเขาอายุแค่ 19 ปีเท่านั้น ในวงนั้นมี Stanley Clarke เล่นเบส และ Lenny White..., บวกกับเขาและChick Corea เปียโน พวกเขาสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับJazz Rock Fusion กันเลยจากจุดนี้ทำให้ประตูแห่งโลกดนตรีFusionเปิดอ้อมแขนรับเขาอย่างง่ายดาย ทำให้เขามีอัลบั้มเดี่ยว และที่ร่วมเล่นกับคนอื่นอีกนับครึ่งร้อยอัลบั้ม งานอีกชิ้นที่กล่าวขานกันมากในหมู่มือกีตาร์ก็คงเป็น Live ที่ชื่อ Friday Night in San Francisco ในปี 1981 ที่มีเขา John Mclaughlin และ Poco De Lucia ที่พวกเขาเล่นอคูสติคกีตาร์ 3 ตัวกันสดๆบนเวที และสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับกีตาร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อในวันนี้เราจะมาดูเทคนิคการเล่นของเขากันว่า เขามีวิธีอย่างไรที่ทำให้กีตาร์ทุกตัวที่เขาเล่นนั้นดูเชื่อง ว่านอนสอนง่ายได้ดังนั้น

clip_image008

Right- Hand Technic

จาก Hyper-speeds ของ Al DI MEOLA เขาจะใช้การดีดจากข้อมือตลอด เขากล่าวไว้ว่า " ผมไม่เคยใช้จากข้อศอกเลย ( เกร็งทั้งท่อนแขนแล้วใช้ข้อศอกเป็นตัวควบคุมความเคลื่อนไหว ) ใช้จากข้อมือตลอด ( ดูรูป A และB )ก็มีบางครั้งที่ใช้จากนิ้วโป้ง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนมากก็จากข้อมือ ผมไม่สามารถเล่นได้ถ้าข้อมือของผมล๊อคไว้กับแขน เมื่อผมเห็นมือกีตาร์ที่เล่นแล้วล๊อคข้อมือไว้ ซาวนด์ที่ออกมาก็น่าเกลียดเหมือนกับที่เห็นนั่นหละ"Al DI MEOLA ชอบที่จะวางมือขวาของเขาไว้บนสะพานสาย [bridge] สำหรับการเล่นที่เป็น single-note (ดูรูป C) เขาจะถนัดมากและง่ายต่อการใช้เทคนิค mute string ( การวางอุ้งมือทับบนสายทำให้เกิดเสียงบอดนิดๆ ) ลักษณะนี้สามารถเรียกว่าเป็น เอกลักษณ์ของเขาเลย "แต่เวลาผมเล่นที่ลักษณะออกเป็นรูปคอร์ดมากๆ ข้อมือผมจะลอย ไม่ติดสะพานสาย " เขากล่าวไว้ ( ดูรูป D ) เขานิยมใช้สายเบอร์ 009 สำหรับ electric Guitar และ 012 สำหรับอคูสติคกีตาร์

 

 

 

clip_image010

Alternate Picking

นี่เป็น Riff จากเพลง Kiss My Axe อยู่ใน E Dorian [ E , F# , G , A,B , C# , D ] เป็นแบบฝึกหัดที่ดีสำหรับมือซ้ายและมือขวา และใช้ Alternate picking ( ปิ๊คสลับ ) ใน 2 สาย สำหรับRiffนี้เริ่มจาก upstroke( ปิ๊คขึ้น )ก่อน ( ดู Ex.1 )

และเทคนิคปิ๊คของเขา เขาแนะนำให้ฝึก 4 แบบนี้

1.Down Stroke ( ลงอย่างเดียว )

2.Up Stroke ( ขึ้นอย่างเดียว )

3.Down-Up Stroke ( ลง -ขึ้น )

4.Up-Down Stroke ( ขึ้น - ลง )

ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของโน้ต เทมโป และการเคลื่อนของข้อมือขวา

Hammer - on

เป็นอีก 1 เทคนิคที่ Al DI MEOLA ใช้ประกอบในการเล่นของเขา นี่เป็นบางส่วนจากเพลง Kiss My Axe โดยเขาใช้ Hammer - on ผสมกับ sliding trill ( เทคนิคสไลด์และต่อด้วยเทคนิค trill , trill คือการเล่นโน้ตที่ต่างกันเร็วๆโดยใช้เทคนิค Hammer - on & pulloff ) เพื่อสร้างสุ้มเสียงเลียนแบบ Keyboard เขากล่าวว่า " เป็น lick ที่ยากในการเล่นที่เทมโปเร็วๆ วางตำแหน่งนิ้วลงบน Fret และ Slide ให้ข้ามจากด้านหนึ่งของ Fret ไปยังอีกด้านหนึ่งพอลองยกนิ้วโป้งออกจากหลังคอกีตาร์ของคุณก็จะช่วยให้ง่ายขึ้นในการเล่นเทคนนิคนี้ ( ดู Ex.2 )

นอกเหนือจากนี้ Al DI MEOLA ก็มีการใช้ปิ๊คในลักษณะอื่นอีกลองดูใน Ex.3

Cross Picking

clip_image012นี่คือเทคนิคทีสร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก ในตัวอย่างนี้การเล่นAlternate picking ( ปิ๊คสลับ )จะดีที่สุด เขากล่าวว่า " พยายามเคลื่อนมือขวาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนมือซ้ายค้างเสียงโน้ตยาวไว้เลย ( ดูรูป E )และหลังจากนั้นลองเลื่อนตำแหน่งดีดจากคอกีตาร์เลื่อนมาทางสะพานสาย ค่อยๆเลื่อนจะสามารถสร้างความแตกต่างของเสียงและสุดท้ายก็เพิ่ม dynamic ( หนัก -เบา )เข้าไป" เริ่มเล่นจากช้าๆก่อน

อีกหนึ่งเทคนิคที่เขาใช้บ่อยๆก็อย่างใน ส่วนใน Ex.4 จะซับซ้อนมากกว่า Ex.3 ใน Ex.นี้จะต้องระวังอย่าให้นิ้วที่กด Fret อยู่ ไปโดนสายเปิดที่ปล่อยไว้ สายเปิดต้องปล่อยให้เสียงค้างยาวตลอด ( ดูรูป F-1 ) Ex.5 เขากล่าวว่า"โน้ตในลักษณะนี้ถ้าใช้Alternate จะทำให้เล่นยาก จะง่ายกว่าถ้าเล่นUp Stroke ใน 2 สายบนและ Down Stroke ในสาย 3 ดีกว่า และยังมีอีกหลายเหตุผลที่Alternate picking อาจจะไม่เหมาะกับตรงนั้น คุณจะต้องทดลองหาจนคุณพบpicking ที่เหมาะกับจุดนั้นด้วยตัวคุณเอง"

นี่คงพอเป็นแนวทางที่พอจะสร้างความเข้าใจในตัวของเขาได้ดีขึ้น แต่ผมขอแนะนำให้วิเคราะห์แนวทาง , เทคนิคและไอเดียในการเล่นของเขา แล้วนำมาผสมกับแนวทางของตัวคุณเองที่ตัวตนของคุณชอบ จะมีประโยชน์สุดดีกว่าแค่นั่งก๊อปปี้โดยไม่คิดอะไรเลย ประโยชน์ที่ได้ไม่น่าจะคุ้มกับเวลาที่เสียไป ฉบับนี้แค่นี้ก่อน ไว้เจอกันฉบับหน้า.

clip_image014

clip_image016

clip_image018

clip_image020

From : Overdrive Guitar Magazine No.27 , September 2000

clip_image021

Thursday, December 6, 2007

สัมภาษณ์พิเศษผู้ชนะเลิศ Overdrive Guitar Contest 5 ธนัช เมทะยะนานนท์

FGT 0210 OD : แนะนำตัวหน่อยครับ

Champ : ชื่อ แชมป์ ครับ ธนัช เมทะยานนท์ อายุ 19 ปี

OD : ประวัติทางด้านดนตรี

Champ : เริ่มเล่นดนตรีก็ตั้งแต่คุณแม่สอน ตอนนั้นก็คือสอนให้เล่นเปียโน

OD : ตอนนั้นอายุเท่าไหร่

Champ : ประมาณ 5-6 ขวบ ครับ เพราะคุณพ่อ คุณแม่เป็นนักดนตรีครับ ก็เลยสอนให้ ก็เลยเล่นมาเรื่อย ประมาณ 8-9 ขวบ ก็คือคุณแม่เค้าไปต่างประเทศ ไปอเมริกาก็เลยไม่ได้เล่นอะไรมากมาย คุณพ่อก็คือเป็นนักดนตรีก็เลยสอนให้เล่นกีตาร์ ตั้งแต่ตอนนั้นน่ะครับ ประมาณช่วงนั้นก็จะป.6 จะขึ้น ม.1 ครับ ก็เล่นพวกประมาณ 60-70 อะไรพวกนั้นนะครับ

OD : เช่นอะไร

Champ : เช่น Rock Bottom, Smoke On The Water

OD : Stairway To Heaven

Champ : Stairway ตอนนั้นยังเล่นไม่ได้ครับมันเร็ว ก็เล่น Smoke On The Water พวกอะไรพวกเนี้ยครับ

OD : แสดงว่าคุณพ่อชอบร็อค

Champ : คุณพ่อชอบร็อค ครับ ก็คือเค้าบอกให้หัดเป็นพื้นฐานไว้จะดีนะครับ ก็เลยเล่นตามมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็ประมาณ ม.ปลาย ตอนนั้น ม.4 ม.5 ก็เริ่มแบบว่า เริ่มเล่นพวก Neo บ้าง พวก Morning Star พวกอะไรอย่างนี้นะครับเริ่มแกะเล่น ก็คือตอน ม.ต้นนี่ก็ตั้งวงเล่นกับเพื่อนอยู่ครับ เล่นกับเพื่อนแบบว่า คือเห็นรุ่นพี่เค้าเล่นกัน ตอน ม.3 ผมว่าน่าจะมันส์ ก็เลยตั้งวงกันตั้งแต่ ม.2 ม.3 ก็ตั้งมาเรื่อยครับ พอ ม.4 เราก็เล่นพวกนี้

OD : แกะมั่ง ดู tab บ้าง คือแบบว่าไงละ

Champ : ครับ แกะมั่งประมาณนั้นครับ แล้วก็คือที่บ้านก็จะทำห้องอัดเสียง คือตอนนั้นเป็นห้องอัดเสียงแล้ว คือ ตอนแรกซื้อเครื่องมาเรื่อยๆ นะครับ ซื้อเก็บมาเรื่อย แล้วทีนี้มันเริ่มเยอะ เริ่มเยอะจนแบบว่ามันทำในห้องนอนงัยตอนแรก เป็นแบบเค้าเรียกว่างัยนะครับ bedroom studio ใช่มั้ยครับ ทีนี้มันเริ่มเยอะ แล้วพ่อก็เลยกั้นห้องให้ทำเป็นห้องอัด ก็เอาเครื่องลงมาทำเป็นห้องอัด ก็เริ่มทำเพลงตรงนั้น

ทำเพลงเสนอค่าย พวกแกรมมี่ อาร์เอส ก็เข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ คือก็ยังไม่ได้อัลบั้มอะไร ก็ไปเก็บเกี่ยว ประสบการณ์จากตรงนั้นในการทำเพลงก็พัฒนาในการทำเพลงขึ้นมา ก็จนแบบว่าตอนนั้นก็เข้าไปทำกับพี่แน็ท วาสนา ค่าย จีโน จีโนเรคคอร์ด อาร์เอส ก็หลายครั้งก็ยังไม่ได้ออก

OD : แล้วตอนนั้นทำเป็นอะไร

Champ : คือเพลงจะเหมือนเพลงตลาดครับ เพลงพวก Modern Rock เป็นพวกสมัยใหม่พวกพั้งค์ร็อค อะไรพวกนั้น ประมาณนั้น คือแบบว่า ก็ยังไม่ได้ออก ผมก็ทำมาเรื่อยๆ คราวนี้ก็ คือ มาช่วงหลังๆ วงแตก แต่คือเปลี่ยนมาขายวงแล้ววงแตก วงสุดท้ายนี่วงแตก คือมีแบบไปเล่นประจำบ้างนิดหน่อยครับ คือแบบว่าพอขึ้นมหาลัยกันทุกคนก็แยกย้ายกัน ไม่ไหว เรียนหนักกันบ้างอะไรแบบเนี้ย ผมก็เลยเออวงแตก ไม่มีอะไรก็เห็น Overdrive มีเปิดสมัครประกวด เราก็เลยลองซิ ประมาณนั้นครับ นี่ถ้าวงไม่แตกคงไม่ได้มาประกวด คงจมอยู่แบบนั้นต่อไป

OD : เรื่องของการฝึกหัดเล่นกีตาร์

Champ : ก็เรียนด้วยตัวเองด้วย แล้วมีอาจารย์ด้วย ก็อาจารย์ปิยะครับ เค้าก็มาแนะนำ มาสอน เอ้ยยังไม่ใช่นะตัว เค้าก็มาบอก เราก็มาปรับปรุงแก้ไข แล้วก็มาได้ประสบการณ์จากการอัดเสียง เพราะเวลาอัดเสียงมันต้องเนียนหน่อย แบบว่าต้องค่อมไม่ค่อมบีท เราก็ต้องเล่นให้ตรงจากที่เราอัด เพราะมันจะฟ้องตัวเอง บางทีมันก็ได้จากตรงนั้นด้วย

OD : หมายความว่าไง ห้องอัดเสียงเรา แล้วก็เล่นรับจ้างเล่นกีตาร์ให้เค้าด้วย

Champ : ใช่ครับ ก็มีแบบไปอัดรับจ้างอัดเสียงรับทำเพลงด้วยครับประมาณนั้น

OD : แล้วฝึกยังไง

Champ : เวลาฝึกกีตาร์ก็แบบว่ายังไงดี สมมุติว่าชอบเพลงไหนก็ลองหามาเล่นมาแกะดูก่อน แล้วก็บางเพลงก็อาจมีแนวคิดที่แบบ เออ บางทีลูกที่มันอาจจะไม่ยากมาก หรือยากมาก แต่มันเท่ส์เราก็เอามา Apply ใช้มั่งที่เอามาใช้กับตัวเองครับ

OD : แล้วที่ใช้ประกวดคิดยังไง ตอนที่เข้าประกวดรอบสุดท้าย คิดอะไรยังไงบ้างกับสิ่งเราเล่น

Champ : ก็ คือผมจะวางเตรียมง่ายๆ เป็นร็อคน่ะครับ สมมุติว่าร็อคมันหมายถึงแบบว่าคือซาวด์์พวกแบบว่า ซาวด์กีตาร์ หรือว่าริธึ่ม หรือโทนคัลเลอร์ของเพลง มันจะเป็นแบบว่า สมัยแบบ 2000 หน่อย ยุคใหม่หน่อย เพื่อความริธึ่มทันสมัย แต่เราอาจจะใช้เทคนิคของพวกแบบเพลงที่เราเคยเล่นมาสมัยก่อน มาประยุคใช้กับริธึ่มที่มันสมัยใหม่เพื่อให้มันฟังดูแบบว่าไม่ให้มันล้าหลัง แต่ผมจะไม่ได้คิดแบบว่า คือเทคนิคแต่ละเทคนิคมันต้องลงตัวในเพลง ไม่ใช่แบบว่าจะเร็ว ต้องแบบว่าลงตัวนิดนึง ให้มีเมโลดี้มีอะไรหน่อย ครับ

OD : แล้วฝึกวันละกี่ชั่วโมง ตอนนั้น

Champ : ตอนนั้น ตอนประกวดใช่มั้ยครับ ก็หนักเลยครับช่วงนั้น ก็ดีดเกือบทั้งวันเลยครับ อยู่บ้านผมจะว่างหน่อยครับ คือตอนแรกเวลาคิดเพลงจะคิดกับคอมพิวเตอร์ จะวางว่ามันประมาณนี้นะ บางทีถ้าลูกไหนไม่ได้ผมก็จะเขียน midi ในคอม เขียนแล้วก็ฝึกตาม บางที midi เป็นเสียงกีตาร์เหมือนพวก version guitarist เออเสียงประมาณนี้มันเพราะนะ เราก็ลองฝึกตาม บางทีมันคิดได้แต่ยังเล่นไม่ได้ ก็เลยต้องฝึกตามทำให้มันคล่อง อาจจะปรับทางนิ้วอีกทีแบบว่าที่เราแบบว่า ลูกนี้มันไม่ไหวจริงๆ ปรับหน่อย คือแบบนั้น

OD : ก็คือ คิดก่อนสร้างเนื้อแต่ง

Champ : ใช่ครับ คือไม่ได้แบบ อาจจะมีการ อิมโพไวส์ลงไปบ้างแต่ว่าเราจะขยายตอนอิมโพไวส์ครับ อย่างเช่นแบบว่า ลูกนี้เอาจากอิมโพไวส์ไปแล้ว 2-3 รอบ บางวงกีตาร์บางวง อิมโพไวส์ไปก่อนแล้วซัก 2-3 รอบแล้วก็ตัดลูกดีๆไว้แล้วก็มาขยายต่อ อะไรแบบนี้

OD : แล้วคิดยังไงกับเรื่องของการประกวดกีตาร์

Champ : ก็ดีนะครับ เพราะทำให้คนที่ยังไม่มีโอกาส มองหาช่องทาง ได้ลองทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำได้ดี

OD : แล้วมีความรู้สึกยังไงที่ตัวเองได้แชมป์

Champ : ตอนแรก ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ เพราะทุกคนเก่งๆ ทั้งนั้นเลย ครับ ตอนที่ได้ก็ตื่นเต้นครับเหมือนฝันเลยครับตอนแรก เฮ้ย! หลับอยู่หรือเปล่าเนี้ย ตื่นๆๆ นี่เรื่องจริง นะ เรื่องจริง เมื่อก่อนประกวดมางานไหนก็ไม่เคยได้รางวัลเลยครับ

OD : ประกวดเป็นวง

Champ : ประกวดเป็นวงครับ คือเหมือนกับเราทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา คือผมจะเป็นนักร้องนำด้วยไงครับ แล้วก็คือเล่นกีตาร์ด้วย โซโล่ จะมีเพื่อนอีกคนหนึ่งเล่นกีตาร์ อีกคนนึง บางทีเค้าจะโซโล่ผมก็เล่นริธึ่มร้องด้วย คือเราคิดว่า เออ เราทำในสิ่งที่มันน่าจะใช่เรานะ เค้าถึงให้เราได้ประมาณนั้น

OD : ฝากอะไรถึงคนเล่นกีตาร์คนอื่นๆ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ต่อๆ ไปถ้าเค้าอยากจะเป็น มือกีตาร์ที่ดี หรืออยากจะลงแข่งต่อๆ ไป

Champ : ก็บางที เล่นมันต้องอยู่ที่ความลงตัวเป็นหลักครับ ผมคิดว่า มันก็ไม่พ้นดนตรี มันก็มีอะไรนะ ฮาร์โมนี, เมโลดี้, ริธึ่ม, แล้วก็โทนคัลเลอร์ คือ 4 อย่างนี้ผมว่ามันต้องลงตัวก่อน ไม่ว่าจะยากหรือง่าย แต่ว่าถ้า 4 อย่างนี้ลงตัว แล้วใช้ตัวเราเป็นตัววัดหรือว่าคนรอบข้าง อย่าฟังคนเดียวสิ่งที่เราเล่น หัดเก็บไว้ฟังนี่เป็นสิ่งที่ดีเพราะว่ามันได้ฟ้องตัวเราไงครับ คือถ้าเรามาคิดว่า เออมันใช่นะ มันเพราะ มันดี เออตรงนี้มันสุดแล้ว แต่ถ้ามีคนอื่นมาบอกว่าตรงนี้ยังไม่ดีนะ เค้าก็ต้องมาให้เหตุผลนะว่ามันไม่ดียังไง เปิดให้กว้างมันจะช่วยได้

FGT 0222 OD : แล้วนอกจากกีตาร์แล้วเล่นอะไรได้อีก

Champ : เล่นได้ทุกชิ้นนะครับผม พวก เบส กลอง กีตาร์ แต่รู้สึกเปียโนนี้เล่นไม่ได้แล้ว ไม่ได้เล่นเลย

OD : แต่ก็คือเล่นเฉพาะที่เล่นได้

Champ : พอได้ครับ

OD : ร้องเพลงได้ด้วย

Champ : ครับร้องได้

OD : ร้องเพลงให้ฟังหน่อย

Champ : ร้องให้ฟังเลยเหรอ (หัวเราะ)

OD : อยากฟัง เอาเพลงอะไรก็ได้ ที่เรารู้สึกมั่นใจกับมันมากที่สุด

Champ : เพลงอะไรดีละ นึกไม่ออก ผมนึกก่อนนะ เอาเพลงที่แต่งเองดีกว่า หรือเพลงตลาด เพลงอะไรก็ได้ใช่มั้ย ท่อนไหนดีละ

OD : ท่อนไหนก็ได้ ที่เรารู้สึก ok มั่นใจ อิน

Champ : “เธอบอกให้ลืม เธอบอกให้ทำอย่างนั้น ให้ลืมเรื่องเรา แล้วให้ทิ้งมันไป” นิดเดียว

OD : นี่เพลงใคร

Champ : เพลงผมเอง

OD : แล้วอุปกรณ์ที่ใช้อยู่

Champ : อุปกรณ์เหรอครับ กีตาร์มันก็มีหลายตัวนะครับ แต่ว่าช่วงหลังๆ นี่ก็เล่น Ibanez

OD : เพราะว่า ?

Champ : เพราะว่า รู้สึกมันเล่นง่ายครับ มันมี 24 เฟรต มันครบนะครับ มีคันโยกอะไรด้วย

OD : แล้วก่อนหน้านี้เล่นอะไร Fender?

Champ : มีพ่อทำกีตาร์ด้วยครับ ทำเล่นเอง

OD : พ่อทำกีตาร์เอง? พ่อชอบ

Champ : ครับ เป็น คัสตอมของตัวเอง

OD : ทำหมดทั้งตัวเลย?

Champ : ทำแต่ปิ๊คอัพ ไปซื้อเอง

OD : อ๋อ เข้าใจ หมายความว่า คอ เฟรต วางเอง

Champ : ครับวางเอง คือมีเครื่องมือทำเอง เค้าทำกีตาร์ด้วยครับทำกีตาร์โปร่ง เป็นพวกหลังเต่าไงครับข้างหลังจะเป็นพวกเรซินครับ ปกติถ้าเป็นโอเวชั่นจะเป็นพวกพลาสติก แต่นี่จะเป็นเรซิน เค้าก็หล่อมาเป็นโครงข้างหลังแล้วมีไม้แผ่นหน้า แต่เลิกทำแล้วตอนนี้ ตอนนี้ก็ทำแบบว่าถ้าอยากทำแล้วค่อยทำครับ

OD : OK แล้วก่อนหน้าเล่น Fender ตอนนี้เปลี่ยนมาเล่น Ibanez ชอบ?

Champ : ครับ มันชอบเพราะเราเล่นกีตาร์ฮีโร่เนี้ย เล่นเร็วๆ มันเล่นง่าย คอมันบางเล็กครับ

OD : Effect ละ

Champ : Effect ก็ใช้พวก P.O.D อะไรแบบนี้นะครับ เวลาอัดก็ต่อตรงเลย แต่เวลาเล่นจริงเค้าให้ต่อ Return ครับ เข้ารู Return ก็แบบว่ามันจะตัดหัวแอมป์ไปเลยครับ ก็คือเราก็ใช้ตัวนี้เป็นหัวแอมป์แทน ไม่งั้นมันชนแอมป์เวลาต่อ Pre ซ้อน Pre มันจะบี้ ก็เลยใช้ตัวนั้น แต่ตอนนี้อยากใช้ตู้ อยากลองตู้ดู

OD : แล้ววันแข่งใช้อะไร

Champ : วันแข่งใช้ P.O.D. XT TC ไวท์เวิท ตัวประสานเสียงครับ เป็นคัมเวไนท์เซอร์มั่งครับ เป็นเกี่ยวกับเสียงประสาน เราก็ตั้งไว้คีย์ไว้ว่า สมมุติผมอีไมเนอร์ก็ตั้งไว้ แล้วก็มี TC G symtem เป็นพวกมูเมอร์เรชั่น แล้วก็เป็นแบบซิสเตม คือตัวนี้มันจะหลุดเอฟเฟ็กได้ 4 ตัว คือพวก POD มันจะดูดในตัวมันประมาณนั้น

OD : คติประจำใจทิ้งท้าย

Champ : ทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับ

Sunday, December 2, 2007

Pry Boxset

clip_image002การกลับมาอีกครั้งของ พราย... ปฐมพร ปฐมพร ผู้ชายคาดหน้า..ที่ใช้สื่อความหมายบางอย่าง.. ผู้แหกปาก - กรีดร้องหาตัวตนของตน กับการรวบรวมผลงาน ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเข้าไว้ ด้วยกันใน Package ที่สวยงาม เป็น พราย Boxset รวมผลงานเพลง 6 อัลบั้ม 8 CDพร้อมบันทึกการแสดงสด ของ ชายคนนี้ พราย ปฐมพร ปฐมพร คนดนตรี คนเขียนเพลง คนที่ใครๆหลายคนบอกว่าเข้าบ้า !!

จำนวนจำกัด 1,000 ชุด ชุดละ 999 บาทเท่านั้น (รายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคเพื่อการกุศล)

หมดแล้วหมดเลย สอบถามรายละเอียดได้ที่

Prart Music Group : 02-203 0423-5 Fax02-203- 0426

Prartmusic@prartmusic.com

clip_image004 clip_image006

Thursday, November 29, 2007

WEAPONS OF DESTRUCTION

10 สุดยอดกีตาร์, แอมป์ และ เอ็ฟเฟ็คท์ของชาว heavy metal

by Chris Gill

From: Overdrive Guitar Magazine No.68, February 2004.

TOP 10 METAL GUITARS

10) Fender Stratocaster กีตาร์ที่เป็นยอดนิยมสำหรับคนทั่วโลกอาจไม่เป็นที่นิยมนักสำหรับกีตาร์ metal (นี่แปลว่ามีวัยรุ่นชาวบลูส์มากกว่าขา metal หรือเปล่าเนี่ย?) กระนั้น กีตาร์ตัวใดก็ตามที่มีบุญพอที่จะคู่ควรกับ Iron Maiden, Andreas Kisser, Richie Blackmore และ Yngwie Malmsteen ต้องอยู่ในรายชื่อลำดับนี้แน่นอน

clip_image002

9) Schecter Diamond Series มือกีตาร์ที่โด่งดังหลายคนที่เลือกเล่น Schecter ประเภทต่างๆ มากมายจนเราไม่สามารถที่จะเลือกระบุว่าจะพูดถึงรุ่นไหนดี แต่หลังจากที่ Jack Owen แห่ง Cannibal Corpse พูดว่าเขาจะหั่นผมเป็นชิ้นๆ และกินผมเสียถ้าผมไม่พูดถึง Schecter Diamond Series C-7 LE เจ็ดสายของเขาผมก็ขอบอกว่า เอาล่ะผมยอมแล้วครับ

clip_image004

8) Paul Reed Smith Custom ถ้ามีวง metal ออกมาบอกว่าต้องการคนที่เล่น Reed อย่าถือแซ็กโซโฟนไปเสนอหน้าให้เขาเห็นซะล่ะ นอกจากว่าคุณอยากลองของต้องการรู้ซึ้งถึงนิยามที่ว่า "metal up your ass" อย่างแท้จริง สิ่งที่ควรทำก็คือจงหยิบกีตาร์ Paul Reed Smith กีตาร์ที่ถูกใช้โดย Paul Allender แห่ง Cradle of Filth, Jim Root แห่ง Slipknot และ Clint Lowery แห่ง Sevendust

clip_image006

7) Gibson Explorer เป็นกีตาร์ที่มีรูปทรงเหมือนสายฟ้า ให้ความเป็น metal อย่างถึงกึ๋น James Hetfield ใช้เพียง Explorer ตัวสีขาวของเขาในการบันทึกเสียง rhythm ใน Ride the Lightning อัลบั้มที่จุดประกายให้กับวง metal นับล้าน

clip_image008

6) ESP Signature Series ถึงแม้จะไม่มีใครบอกเราได้ว่า ESP ย่อมาจากอะไร ("Eighties Spandex Pants" งั้นเหรอ? หรือว่า "Extra Small Pizza"?) เราเชื่อว่ามันย่อมาจาก "Evil Satan's Plan" เพราะว่ามือกีตาร์ metal ส่วนมากเล่น ESP กันทั้งนั้น Signature Series ของทางบริษัทรุ่นปัจจุบันนั้นมีรุ่นที่ออกแบบโดยสมาชิกของ Megadeth, Metallica และ Slayer ด้วย dream team ปิศาจชัดๆ เลยนะนี่

clip_image010

5) Jackson Randy Rhodes V Randy Rhodes ได้ออกแบบกีตาร์ทรงครีบฉลามนี้หลังจากที่เขาเข้ามาร่วมวงกับ Ozzy Osbourne เหล่าพลพรรคในวง black metal อย่าง Dimmu Borgir ก็ใช้กีตาร์ Rhodes พวกเขาเรียกมันว่า "mwa , a , laay bahgog"

clip_image012

4) Ibanez 7-String Universe ในตอนแรก Nigel Tufnel ออกแบบแอมป์ Marshall ที่ปรับขึ้นไปได้ถึง 11 ยังไม่หยุดแค่นั้น Steve Vai ได้พัฒนากีตาร์ให้มีสายที่เจ็ดเพิ่มขึ้นมา ต่อมา Munky และ Head แห่งวง Korn ก็นำ Ibanez เจ็ดสายนี้มาใช้เป็นแบบฉบับของตัวเอง จูนสายต่ำลงหลายคีย์และกางเกงพวกเขาก็จะใส่ต่ำลงเรื่อยๆ จนขอบกางเกงเกือบจะถึงเข่า บันทึกอีกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ดนตรีว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยีกีตาร์ metal นั้นก้าวไปหาจุดต่ำสุด Messuggah และ Fear Factory ก็ชอบมันเช่นกัน

clip_image014

3) Gibson SG ด้วยเขาปิศาจเรียวแหลมของลำตัว Gibson SG ที่เหมือนรูปทรงของหัวปิศาจซึ่งยิ่งพาให้ตีความกันไปได้ว่า SG อาจย่อมาจาก "Satan's Guise" แม้กระนั้น Tony Iommi แห่ง Black Sabbath และ Angus Young แห่ง AC/DC ก็ไม่เคยตกยุคตั้งแต่ใช้ SG ของพวกเขา

clip_image015

2) B.C. Rich Warlock มาเผชิญหน้ากับมันดูหน่อย นี่คือกีตาร์ที่ตั้งชื่อให้กับพ่อมด ทรวดทรงเพิ่มความแหลมคมของส่วนโค้งเว้ายิ่งกว่าอาวุธกังฟูที่จะไม่เคยเห็นบนเวที Lilith Fair แน่นอน กีตาร์นี้สำหรับ metal เพียวๆ ไม่มีอะไรเจือปน ซึ่งมันก็อธิบายได้ดีว่าทำไม Kerry King แห่ง Slayer และ Mick Thomson แห่ง Slipknot จึงรักกีตาร์ Warlock ของเขานัก ยังไม่เชื่อใจถึงที่มาที่ไปของ Warlock อีกรึ? มันผลิตจาก New Jersey เชียวนะ

clip_image017

clip_image0191) Gibson Les Paul แม้ว่ากีตาร์ Gibson Les Paul อาจจะมีรูปร่างไม่เหมือนเขี้ยวปิศาจหรือตุ๊กตาอาถรรพ์ใดๆ แต่ riff metal นั้นเล่นออกมาจาก Les Paul มากกว่ากีตาร์ใดๆ มือกีตาร์ตั้งแต่ Ace Frehley จนถึง Zakk Wylde นั้นยกให้ Les Paul เป็นกีตาร์เบอร์หนึ่งของพวกเขา มันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้สร้างซาวด์ metal ของ Tool, Godsmack และ Hatebreed

TOP 10 METAL AMPS

10) Peavey Triple XXX นี่เป็นเวลาที่บริษัทผู้ผลิตแอมป์จะต้องเปิดกว้างหันมาร่วมมือกับวงการ metal บ้าง ซาวด์ที่ดุดันนี้เป็นที่โปรดปรานของ Max Cavalera ถึงแม้ว่าเขาอยากจะให้มีสาม input ก็เถอะ

clip_image021

clip_image0229) Mesa/Boogie Dual Rectifier Road King ผลงานจาก Mesa/Boogie ที่ได้ผลิต Dual Rectifier นี้มีแนวคิดที่ว่าต้องการจะให้มือกีตาร์กำหนดเสียง bottom end จะมากหรือน้อยได้ตามแต่ต้องการและไม่มีเสียงแตกระเบิดไม่ว่าจะเล่นเสียงคลีนหรือเสียงรก แอมป์ Road King มีความสามารถมากมายด้วย four-channel head สามารถให้โทนเสียงได้มากตามที่คิด มือกีตาร์จากวง Korn บอกว่ามันคือหัวแอมป์ที่ดีที่สุดที่เขามีนอกเหนือจากบริเวณเวที

8) Marshall MF350 ว่ากันว่า MF มีชื่อเล่นคือ "Mother Fuck" รูปลักษณ์ที่ผ่านการผสมผสานของเจ้าวายร้ายหน้าใหม่ตัวนี้มีคุณสมบัติทั้งที่เป็นที่สุดในด้าน tube, solid-state และ digital technology เพื่อให้ซาวด์ที่กระหน่ำรุนแรงได้ตามที่มือกีตาร์ metal รุ่นใหม่ๆ ต้องการ Hatebreed, System of a Down และ Staind เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นแฟนของแอมป์ชนิดนี้

clip_image023

7) Line 6 HD 147 มือกีตาร์ metal เคยต้องพึ่งสิ่งเล็กๆ น้อย เมื่อคำว่า "line" นั้นถึงทางตันแล้ว แต่ในวันนี้เพียงทำหน้าที่กับสายกีตาร์ไปก็พอ นั่นเป็นเพราะว่า Line 6 HD 147 สามารถทำเสียงแอมป์ยี่ห้อดังต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเสียงของแอมป์ boutique custom ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักดนตรี metal ทั้งหลาย just say "yo!"

clip_image025

6) Marshall Valvestate 8100 ซาวด์แบบ Death เป็นอย่างไรน่ะเหรอ? ถ้าคุณเป็นแฟนของ Chuck Schuldiner ผู้ทรงอำนาจ คุณอาจจะพูดได้ว่า มันคือ Marshall Valvestate 8100 ผู้ที่ใช้ Valvestate 8100 อย่าง Tommy Victor (Prong), Wayne Static (Static X) และ Riggs (Rob Zombie) คือตัวอย่างของผู้ที่ใช้

clip_image027

5) VHT Pittbull Ultra Lead เป็นดั่งเช่นชื่อที่มันบอก แอมป์มากพิษสงนี้จะกัดคุณเสียกระจุยหากไม่ระวังมันให้ดี Mick Thomson แห่ง Slipknot และ Page Hamilton แห่ง Helmet คือสองผู้ใช้ที่ถูกสัตว์ร้ายตัวนี้ปล่อยมาได้เพื่อมาเล่าถึงเรื่องนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้

clip_image029

4) Randall Warhead Bush นั้นเข้าใจผิดทั้งเพเพราะว่าอาวุธทำลายล้างที่แท้จริงแล้วนั้นซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของ Dimebag Darrell ใน Texas มือกีตาร์เคราม่วงแห่ง Pantera/Damageplan ออกแบบแอมป์ Warhead เพื่อให้ได้โทนเสียงสังหารอันรุนแรงสุดๆ กว่าที่เคยปรากฏบนพื้นโลก (แม้ว่ามันจะไม่ใช่นิวเคลียร์ก็เถอะ) ในราคาที่แม้แต่ประเทศเผด็จการโลกที่สามก็สามารถซื้อได้

clip_image030

3) Bogner Uberschall ไม่ใช่ครับ "uberschall" ไม่ใช่สโลแกนหาเสียงของ Arnold Schwarzenegger แต่มันเป็นภาษาเยอรมันหมายถึง "supersonic" (เร็วกว่าเสียง) และถ้าคุณกำลังอยากได้ซาวด์โหดๆ ใช้โปรดจำไว้ว่า Bogner Uberschall คือคำเยอรมันเพียงสองคำที่คุณจำเป็นต้องจำใส่กะโหลก Disturb, Slipknot และ Tool ล้วนแล้วแต่ใช้ Bogner มาช่วยเป็นกำลังทัพครองโลก

clip_image032

2) Mesa/Boogie Triple Rectifier Solo ประกอบด้วยสาม channel ที่แยกออกจากกัน Mesa/Boogie Triple Rectifier เป็นสินค้าประเภท three in one ที่น่าตื่นเต้นที่สุดนับตั้งแต่ DVD ล่าสุดของ Jenna Jameson แอมป์ Triple Rectifier นี้เห็นได้ตามเวทีของ P.O.D., Godsmack, Korn และ Metallica สิ่งที่มันทำหลังจากจบการแสดงของมันก็คือเริ่มเข้ามาเป็นกิเลสในใจของคุณ

clip_image034

1) Marshall JCM800 ตั้งแต่ที่มันเริ่มเปิดตัวในปี 1981 แอมป์ Marshall JCM800 ก็กลายมาเป็นแอมป์แห่ง metal ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะมันให้มันส์ได้มากกว่าที่โรงงานผลิตน้ำมันหมูจะให้คุณได้เสียอีก Zakk Wylde และ Kerry King แห่ง Slayer ต้องอุตส่าห์ยอมไปนอนค้างที่ Neverland Ranch กว่าจะได้แอมป์ JCM800 มาใช้

clip_image036

TOP 10 METAL EFFECTS

10) Electro-Harmonix Big Muff Pi มือกีตาร์ทั้งหลายต่างก็ใช้ distortion pedal นี้เพื่อให้ได้ซาวด์เสียงแตกออกมาจากแอมป์มานมนานกว่า 30 ปีแล้ว เราไม่แนะนำให้ต่อเข้ากับ Big Muff Pi ถ้าชุดของคุณไม่มีอะไรมากไปกว่า Jackson Dinky และ Small Stones คู่หนึ่ง

clip_image038

9) MXR Phase 90 เอ็ฟเฟ็คท์ Phase 90 นี้เป็นหนึ่งในเอ็ฟเฟ็คท์ phase shifters ที่มือกีตาร์ metal นิยมใช้กัน ลักษณะเสียง sweeping แบบนี้จะได้ยินจากอัลบั้มแรกของ Van Halen ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเสียงแบบนี้จะได้ยินจาก Eddie ตอนเขาทำความสะอาดโรงรถเท่านั้นก็ตาม

clip_image040

8) Boss DD-3 Digital Delay อยากจะได้ซาวด์ที่เหมือนกับว่าคุณเล่นสองครั้งมีโน้ตหลายตัวระหว่างการ solo มั้ย? แค่ต่อ DD-3 เข้าไปในสัญญาณของคุณแล้วก็ย่ำลงไป นักดนตรี metal มากมายใช้ delay pedal อันนี้แม้ว่าเราจะหาตัวอย่างของคนที่ใช้มันมายกให้ดูไม่ได้ก็ตามเถอะ

clip_image042

clip_image0447) Dunlop Uni-Vibe เป็นไปได้ว่าซาวด์หมุนวนหวือๆ แปลกๆ ที่คุณได้ยินจากคอนเสิร์ตครั้งล่าสุดของ Godsmack, Korn หรือ P.O.D. นั้นจะมาจาก Dunlop Uni-Vibe นี้เอง ไม่ได้มาจากเบียร์สี่ขวดหรือดงกำปั้นในการเล่น mosh (การเล่นกระแทกกัน) Jimi Hendrix เคยใช้มัน ปัจจุบันเขาตายแล้ว

6) Line 6 DM4 Distortion Modeler ถูกใช้โดย Metallica และ System of a Down เอ็ฟเฟ็คท์ DM4 สามารถทำเสียง distortion pedal ได้ทุกอย่าง ถ้าเอ็นจิเนียร์ของ Line 6 สามารถประดิษฐ์กล่องที่สามารถสร้าง supermodel ที่เราอยากนอนด้วยได้ตามที่ต้องการก็ดีสินะ

clip_image046

5) Boss OC-2 Octaver สร้างเสียงต่ำลงหนึ่ง octave และสอง octave ในโน้ตที่คุณเล่นอยู่ Boss Octaver นี้สามารถทำเสียงต่ำได้ตามที่คุณจะเล่นได้ Tony Iommi และ Stephen Carpenter แห่ง Deftone ใช้เอ็ฟเฟ็คท์นี้เพื่อสร้างซาวด์ปิศาจของพวกเขา ถ้าจะเล่นต่ำกว่านี้ต้องเปลี่ยนไปเล่นเบสแล้ว แต่ทำอย่างนั้นอาจถูกแฟนทิ้งได้

clip_image048

4) Ibanez TS-9 Tube Screamer ถูกออกแบบมาเพื่อขับแอมป์ให้แรงขึ้นเพื่อให้เสียงดังขึ้น มันถูกใช้โดยมือกีตาร์ลีด Kirk Hammett เพื่อ boost สัญญาณขึ้น pedal นี้ตอบสนองได้ดีกับเหล่าผู้ที่ถูกไล่ออกจากบ้านเช่า ทาง Ibanez น่าจะเรียกมันว่า Screaming เจ้าของบ้านเช่า

clip_image050

3) Dunlop Cry Baby wah-wah ถูกออกแบบมาให้ทำเสียงกีตาร์ให้เหมือนกับพูดได้ เจ้า Cry Baby wah-wah นี้ถูกผลิตมาช่วงเดียวกับที่ LSD กำลังเป็นที่นิยม บังเอิญมั้ยเนี่ย? ก่อนที่ Deicide จะได้เซ็นสัญญา พวกเขาเคยถูกหาว่าพวกเขาเหยียบเด็กทารกเพื่อจะทำซาวด์คล้ายๆ กันนี้

clip_image052

2) DigiTech WH-1 Whammy นี่คือ Whammy pedal แบบฉบับดั้งเดิมที่เป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณมีซาวด์แบบ "ลิงในเครื่องปั่น" ของ Dimebag Darrell หรือซาวด์ "คนบ้าถือสว่าน" ของ Tom Morello ได้ ตอนนี้ราคาขายทางฝั่ง eBay ก็มากกว่า 500 เหรียญ ถ้าจะยอมจ่ายมากขนาดนั้นคงต้องถือว่าเป็นคนบ้าในเครื่องปั่นแล้ว

clip_image054

1) Boss MT-2 Metal Zone หนึ่งใน pedal ยอดนิยมของ Boss เป็นประวัติการณ์ เอ็ฟเฟ็คท์ Metal Zone มีราคาถูกและสามารถสร้างซาวด์เบสอ้วนๆ แรงๆ ขุดเอาเสียงกลางหรือจะให้เสียงแหลมแตกซ่านก็ทำได้ไม่ยากซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ต้องการในกีตาร์ metal สมัยใหม่ Metal Zone เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะมีต่อจากแอมป์ของ Megadeth มือขวาของ James Hetfiled และ rack ของ Dimebag

clip_image056

อ้างอิง : Overdrive Guitar Magazine No.68, February 2004.

Wednesday, November 14, 2007

John Goldie Live @ Overtone (English)

John Goldie Live @ Overtone

Wednesday 21th November 2007

"John Goldie is one of the most talented guitarists to appear on the
British Jazz Scene in a long time.He is a talented guitarists not only

his solo album but also his band;Spirit of D’Jango. "

Enjoy with his Mini Concert at Overtone RCA

Wednesday 21th November 2007

Time: 10.00-11.00 P.M.

Information : Teera Music

Tel: 02-224-8821

John Goldie’s Biography

He Started playing guitar around six years of age, initially self-taught, gradually progressing to playing in Rock and Blues bands around twelve years old. Around this time studied music theory and harmony with a local tutor and also got involved with the dance band scene.

Whilst playing a function gig John was spotted by the musical director of a visiting Motown act from the U.S.A. and asked to be guitarist on their next UK tour. This was to be the start of many tours and work as a session player including CD’s Radio, TV Shows etc. A chance meeting with Jazz guitarist Martin Taylor and a subsequent invitation to perform together led to a dramatic change in direction career wise.

Not only did this collaboration lead to the award winning group Spirit of D’Jango, several CD’s tours and concerts at elite Jazz venues like Ronnie Scott’s, but was also the spark which ignited the solo career John now enjoys.

Whilst developing a solo repertoire John also wrote material for his own Trio, recording the acclaimed CD Turn and Twist with tours and festivals following. Whilst on the road John started writing material for a solo CD. The material was purely acoustic and after hearing a couple of demo tracks John was invited by Peter Finger over to Acoustic Music in Germany the premier acoustic label in Europe to record a solo acoustic guitar CD.

This album of original compositions and quirky takes on popular tunes received critical acclaim in the UK, USA and Europe. John has also attracted the attention of two of the biggest companies in the acoustic world, Martin Guitars and A.E.R. Acoustic Amplifiers. John is a proud endorsee of these products.

The release of “This Time and Place” follows this natural progression, and whilst drawing on his own Scottish and Jazz influences, places his music at the forefront of accessible virtuoso acoustic guitar. With a mixture of new compositions and well known tunes, the CD has already started to gain plaudits for its originality and quality of production, and looks set to bring John Goldie and his music to a much wider audience.

Monday, November 12, 2007

Megadeth live in bangkok, Interview

Interview

Overdrive presents

Megadeth Live In Bangkok

Date : October 23th, 2007

Promoter: Prart Music Group Co.,Ltd.

Venue : Bangkok Hall

Capacity : 3,000 peoples

This is Megadeth concert in Thailand. In Bangkok Hall, it had the majority of Thai and foreign people. Megadeth is a Legend of World Thrash Metal Band .

 

The band members are :

Dave Mustaine : Lead Vocals / Lead & Rhythm Guitar

Glen Drover : Lead & Rhythm Guitar

Shawn Drover : Drum

James Lomenzo : Bass

 

Megadeth got a warm welcome from their big fan in Bangkok when they came up the stage. Megadeth opened their concert with a song from their new album “United Abominations” Then they followed by a song that you knew well such as Wake Up Dead,Symphony of Destruction, Hanger 18 ,until the last song encore “Holy Wars”.In this concert, they handled all audiences with their their distinctive guitar style, involving complex, intricate musical passages, and trade off guitar solos, Mustaine’s original "snarling" vocal style and their lyrical themes involving politics, war, addiction, and personal relationships.

Thailand has many fans of Megadeth and Thai fans want to see their performance very much.So Megadeth came to Thailand to promote their new album “United Abominations” on October 23th, 2007. Thai fans crowded in Bangkok Hall and have fun together.

Songs List “Megadeth”

SLEEPWALKER

TAKE NO PRISONERS

WAKE UP DEAD

SKIN O’ MY TEETH

WASHINGTON IS NEXT

KICK THE CHAIR

DARKEST HOUR

HANGAR 18

GEARS OF WAR

A TOUT LE MONDE

TORNADO

ASHES IN YOUR MOUTH

NEVER WALK ALONE

SYMPHONY OF DESTRUCTION –EXT

TRUST

PEACE SELLS- EXT

Encore: HOLY WARS

Megadeth Discography

clip_image002[4] Killing Is My Business... and Business is Good! 1985

clip_image004

Peace Sells... But Who's Buying? 1986

clip_image006

So Far, So Good, So What! 1988

clip_image008

Rust In Peace 1990

clip_image010

Countdown to Extinction 1992

clip_image012

Youthanasia 1994

clip_image014

Cryptic Writings 1995

clip_image016

Risk 1999
clip_image018 The World Needs A hero 2001
clip_image020
The System Has Failed 2004

clip_image022

United Abominations 2007